Menu
สายด่วนบริการลูกค้า : 02-692-8404-12

หน้าแรก / บทความที่น่าสนใจ

โทนี ไจลส์ ชายตาบอดผู้ฝันจะเที่ยวรอบโลก

11/10/2019
หลายๆคนคงชอบการไปเที่ยวตามที่ต่างๆทั้งต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่การไปเที่ยว สิ่งที่คนปกติรู้สึกดีที่สุดคือการได้ไปเห็นที่ต่างๆ สัมผัสวัฒนธรรมวิถีชีวิตต่างๆ ด้วยตาตนเอง นั่นคือความต้องการของคนปกติครบ 32 แต่หากคุณเป็นคนตาบอดหูหนวกล่ะ คุณคิดหรือไม่ว่าการไปเที่ยวนั้นมันสำคัญสำหรับคุณจริงหรือเปล่าในเมื่อมองๆก็มองไม่เห็น หูก็ไม่ได้ยิน แล้วเราจะเดินทางไปเพื่ออะไร? "ผมไปเที่ยวมาทุกทวีปในโลกแล้ว แอนตาร์กติกาด้วย เป้าหมายผมคือการไปเที่ยวทุกประเทศในโลก" นี่คือคำพูดของนาย โทนี ไจลส์ ชายชาวอังกฤษผู้รักในการท่องเที่ยวเหมือนกับหลายๆคน แต่สิ่งที่แตกต่างไปคือเขาทั้งตาบอดและหูหนวกทั้งสองข้าง แต่ความรักที่จะท่องเที่ยวพาเขาเดินทางไปกว่า 130 ประเทศแล้ว นายโทนีได้เล่าประสบการณ์การท่องเที่ยวของตนเองผ่านรายการทีวีรายการหนึ่งว่า ผมมีปัญหาด้านการมทองเห็นมาตั้งแต่อายุได้ 9 เดือน และตาบอดอย่างสิ้นเชิงตอนอายุ 10 ขวบ ก่อนจะอายุ 6 ขวบ หมอวินิจฉัยว่าผมหูหนวกเป็นบางส่วน ซึ่งปัจจุบันผมต้องใช้เครื่องช่วยฟัง ตลอดเสมอมาตั้งแต่เด็กจนถึงช่วงวัยรุ่นผมวิตกกังวลคิดมากเรื่องตาบอดอยู่ตลอด จนเมื่อตอนอายุประมาณ 16 ปี โรงเรียนเด็กพิเศษได้พาผมไปเที่ยวต่างประเทศครั้งแรกที่เมืองบอสตันในสหรัฐฯ ซึ่งตอนนั้นทำให้ผมได้สัมผัสการท่องเที่ยวเป็นครั้งแรก แต่ตอนนั้นแม้จะรู้สึกชอบ แต่ผมยังไม่คิดถึงการที่อยากจะเดินทางไปเที่ยวด้วยตนเองบอกกับปัญหาสุขภาพที่มาขัดขวางจึงไม่สามารถที่จะคิดเรื่องเที่ยวได้ ผมเคยเป็นไตวาย และต้องเข้ารับการผ่าตัดปลูกถ่ายไต จนต่อมาพ่อของผมซึ่งได้ทำงานอยู่ในเรือขนส่งสินค้า มักบอกเรื่องราวที่ไปพบในที่ต่างๆจากแดนไกล มันทำให้ผมเริ่มนึกถึงความรู้สึกที่เคยไปเที่ยวครั้งแรก และอยากออกเที่ยวบ้าง มันเป็นความรู้สึกที่อยากหนีจากชีวิตปัจจุบันเลยคิดว่ายังมีหนทางอื่นให้เลือก สุดท้ายเมื่อปี 2000 ผมเริ่มเที่ยวแบบแบ็คแพ็คเป็นครั้งแรก โดยไปที่นิวออร์ลีนส์ หลายคนที่รู้ว่าผมจะออกไปท่องเที่ยวด้วยตัวเอง ก็มักพูดว่าการอยากท่องเที่ยวของผมมันดูช่างสุดโต่งมากสำหรับคนหูหนวกตาบอด แต่สิ่งที่อยากให้ทุกคนได้รู้คือการมองหรือสัมผัสโลกในแบบฉบับของผมนั้นแตกต่างออกไปจากคนอื่น ผมชอบได้ยินเสียงคนพูดคุย ผมชอบเดินขึ้นลงเขา ผมสัมผัสมันได้ผ่านผิวหนังและด้วยเท้า นั่นคือวิธีที่ทำให้ผมเห็นว่าแต่ละประเทศเป็นอย่างไร ผมใช้เวลา 20 ปีที่ผ่านมาในการท่องเที่ยวไปยังที่แปลกใหม่ และบางครั้งก็พบเรื่องราวดีๆระหว่างทาง อย่างเช่นทริปๆหนึ่งที่ผมได้เจอกับแฟนสาวชาวกรีกซึ่งตาบอดเช่นกัน ผมชอบเดินทางไปไหนมาไหนคนเดียว เงินที่ใช้เที่ยวมาจากเงินบำนาญของพ่อ ซึ่งแต่ละครั้งผมจะวางแผนล่วงหน้าอย่างระมัดระวัง แม่จะเป็นคนช่วยจองตั๋วเครื่องบินให้เพราะเว็บไซต์สายการบินส่วนใหญ่ไม่ได้ทำระบบเพื่อเอื้อสำหรับคนตาบอด ก่อนไปเที่ยว ผมจะติดต่อไปยังคนที่สามารถให้การช่วยเหลือขณะอยู่ที่ประเทศนั้น ๆ ผ่านเว็บไซต์ก่อน เพราะการไปสถานที่ต่างๆนั้นผมไม่สามารถเห็นภาพของสถานที่นั้นๆได้ จึงต้องการคนที่รู้มาเล่าเรื่องราวต่างๆให้ฟัง ส่วนการเดินทางไปตามสถานที่นั้นๆหากไม่มีคนพาไป ผมก็จะเดินทางไปเองด้วยการวางแผนเส้นทางให้ดี เพราะผมไม่สามารถหยิบหนังสือนำเที่ยวขึ้นมาแล้วก็ชี้ๆ ว่าผมจะไปที่นั่นที่นี่ ผมจึงต้องมีความรู้เรื่องประเทศนั้นๆ ก่อนไป การได้ท่องเที่ยว มันทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้น และมันเป็นการผจญภัยที่ยิ่งใหญ่มาก ผมรู้สึกตื่นเต้นที่บางครั้งผมไม่รู้เลยว่าจะไปเจอใคร และจะเกิดอะไรขึ้น ช่วงแรกๆที่ออกเดินทางผมมักรู้สึกท้อแท้ในบางครั้งเพราะบางทีผมเดินๆเที่ยวอยู่ผมก็หยุดชะงัก เพราะมีความรู้สึกวิ่งเข้ามาในหัวว่าตอนนี้ตนเองอยู่ที่ไหน ควรจะไปทางไหน จะไปได้จริงๆหรือ แต่สุดท้ายผมก็พยายามตั้งสติ หายใจเข้า-ออก และพูดกับตัวเองว่า โทนี ถ้าไม่อยากไปต่อ ก็กลับบ้านไปซะ สุดท้ายผมก็ตัดสินใจเดินหน้าต่อ และจากนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีความรู้สึกท้อแท้ในเรื่องดังกล่าวเข้ามาในหัวอีกเลย จริงๆแล้วผมรู้สึกได้ว่าการท่องเที่ยวนั้นมันคือกำลังใจสำหรับผมเพราะเหตุผลหลักอย่างหนึ่งที่ผมเริ่มไปเที่ยวคือการช่วยในการหลีกหนี หลีกหนีจากอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง ยิ่งได้เจอคนมากขึ้น ผมก็เริ่มเข้าใจว่าคนอยากอยู่กับผมไม่ใช่เพราะผมตาบอด แต่เป็นเพราะตัวตนของผม การท่องเที่ยวของผมไม่ได้หรูหราหรือสะดวกสบาย ผมเที่ยวอย่างประหยัดที่สุด ใช้รถโดยสารสาธารณะ และเลือกที่พักแบบง่ายๆ เพราะมันทำให้ผมสัมผัสรับรู้ได้ดีมากกว่า เช่นไปพักที่พักบางบ้าน เจ้าของบ้านยินดีที่จะทำอาหารให้กินโดยใช้วัตถุดิบที่ซื้อมาจากตลาดท้องถิ่นผมชอบที่จะจับและสัมผัสสิ่งของต่างๆ ชอบฟังชอบคุบกับคนอื่น เพราะมันช่วยทำให้ผมเห็นภาพมากขึ้น อย่างเช่นครั้งหนึ่งที่ผมได้ไปเที่ยวในกรุงแอดดิส อาบาบา ผมไปพิพิธภัณฑ์ซึ่งเขาอนุญาตให้สัมผัสสิ่งของที่จัดแสดงอยู่ มันเป็นสิ่งที่รู้สึกดีมากที่ได้สัมผัสทำให้ผมรู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของที่แห่งนั้น ถึงแม้ผมเดินทางมาหลายที่แต่ผมก็มักจะหลงทางอยู่บ่อยๆเพราะผมชอบเดินทางไปในที่ๆนักท่องเที่ยวคนอื่นเขาไม่ไปกัน ซึ่งมันจะหมดปัญหาถ้าผมสามารถจ้างคนในพื้นที่ให้นำเที่ยว แต่บ่อยครั้งก็จบลงที่ต้องเดินทางไปด้วยตัวเอง และก็มักจะหลงทางอยู่ตลอด แต่นั่นไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกตื่นตระหนก ผมจะใช้วิธีหยุดรอให้คนที่เดินผ่านไปมาเข้ามาช่วย อาจจะมีคนสัก 10 คนเดินผ่าน และจะมีคนหนึ่งที่เข้ามาถามว่า คุณหลงทางเหรอ ให้ช่วยไหม บางที่การหลงทางแล้วได้คนมาช่วยก็ทำให้ได้ไปสัมผัสกับประสบการณ์แปลกใหม่ เช่นครั้งหนึ่ง คนแปลกหน้าที่มาช่วยเหลือเคยพาผมไปบ้าน ทำอาหารให้กิน ก่อนที่จะพาผมกลับไปส่งยังที่พักด้วย และด้วยการที่ต้องเจอคนแปลกหน้าอยู่บ่อยๆระหว่างท่องเที่ยว ผมจึงต้องพิจารณาคนๆนั้นให้มากที่สุด เพราะการท่องเที่ยวหนึ่งในปัจจัยสำคัญคือเรื่องเงิน การกดเงินสำหรับคนตาบอดอย่างผมจึงเป็นเรื่องท้าทายที่ใหญ่ที่สุด ผมต้องหาคนที่ผมจะสามารถเชื่อใจได้ ต้องค่อยๆ ลองใจ ฟังเรื่องราวของพวกเขา หลังจากพิจารณาจนพอใจแล้ว ผมจึงไปตู้เอทีเอ็มกับคนแปลกหน้า พอกดเงินเสร็จก็จะให้คนแปลกหน้าช่วยบอกให้ว่าเป็นแบงค์อะไรบ้าง ระหว่างเที่ยว สิ่งหนึ่งนอกจากพยายามไปสัมผัสสถานที่ต่างๆ สิ่งที่ผมรักมากที่สุดคือเสียงดนตรี หนึ่งในการท่องเที่ยวผมจึงมักวางแผนที่จะไปรู้จักเข้าถึงเครื่องดนตรีประเภทต่างๆในแต่ละประเทศ เพราะผมรู้สึกถึงความเชื่อมโยงกับมันได้ รู้สึกได้ถึงจังหวะ มันสามารถข้ามทุกพรมแดน ส่วนนอกเหนือจากนี้ กคงเป็นพวกอาหารท้องถิ่นที่ยังไงก็ต้องพยายามลองกินให้ได้ เพราะเป็นหนึ่งในประสาทสัมผัสที่เหลืออยู่ที่ผมใช้มันรับรู้ได้ แต่ที่คนตกใจกับการท่องเที่ยวของผมมากที่สุดคือ การที่ผมเดินทางไปสถานที่ที่น่าประทับใจต่างๆ ผมมักจะถ่ายรูปเก็บไว้เสมอ คนก็บอกว่าผมมองไม่เห็นจะถ่ายรูปไปทำไม เพราะแค่ดูรูปของตัวเองยังทำไมได้ แต่ที่ผมถ่ายผมไม่ได้ต้องการเก็บไว้ดูเอง ผมอยากให้คนที่อื่นได้เข้าไปดูต่างหากผมจึงมักอัพรูปลง เว็บไซต์ของตัวเองให้คนอื่นได้เข้าไปดู และสิ่งสุดท้ายที่ผมได้ยินมาบ่อยมากที่สุดในชีวิตการท่องเที่ยวของผมคือคำพูดจากคนอื่นว่า ทำไมคนหูหนวกตาบอดอย่างผมถึงอยากจะไปเที่ยวรอบโลก ทำไมถึงต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ คำตอบง่ายๆ ที่ผมตอบกลับคำถามนี้ตลอดคือ แล้วทำไมถึงจะไม่ทำมันล่ะ